บทที่ 8 การเพิ่มผลผลิตในองค์กร
แนวคิดเรื่องการเพิ่มผลผลิต
แนวคิดและความหมายของการเพิ่มผลผลิตนั้น จะเปลี่ยนไปตามความต้องการของกิจกรรมทางอุตสาหกรรมจากอดีตที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน คำว่า “การเพิ่มผลผลิต” (Productivity) เริ่มต้นตั้งแต่ความหมายอย่างแคบ คือ ประสิทธิภาพ (Efficiency) มาถึงการแข่งขัน (Competitiveness)และปัจจุบันนั้น การเพิ่มผลผลิตเป็นเรื่องของการพัฒนา และยกระดับสังคม (Social Productivity)
ในสหรัฐอเมริกา ยุคของประธานาธิบดี บิล คลินตัน นี้ คำว่า “Productivity” กับคำว่า “Competitiveness” แทบจะกลายมาเป็นคำ ๆ เดียวกัน หรือใช้แทนกัน เพราะการเพิ่มผลผลิตนั้นเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในการแข่งขัน ซึ่งเริ่มตั้งแต่สมัยประธานาธิบดี ยอร์ช บุช ที่สหรัฐอเมริกาสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน เพราะการเพิ่มผลผลิตตกต่ำ (Productivity Stagnation) ทั้งนี้ปัญหาใหญ่ก็คือ เรื่องของคุณภาพ จึงมีการรณรงค์เรื่องคุณภาพกันอย่างหนัก และก็เริ่มมี Malcom Baldrige Award หรือรางวัลคุณภาพแห่งชาติขึ้น ซึ่งเป็นกลยุทธ์หนึ่งที่จะให้ได้มาซึ่งระดับการเพิ่มผลผลิตที่สูงขึ้น อันจะเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทั้งตลาดในประเทศและตลาดต่างประเทศ
ถึงแม้จะใช้คำว่า การแข่งขันเป็นคำแปลของคำว่า “การเพิ่มผลผลิต” แต่คำทั้ง 2 นั้นแตกต่างกัน เพราะการแข่งขันนั้น เรามุ่งสร้างความได้เปรียบที่ราคาและคุณภาพ นั่นหมายถึงว่า ถ้าจะให้แข่งขันได้โดยต้องลดค่าแรง หรือให้คนงานออกบริษัทก็จะต้องทำ แต่สำหรับการเพิ่มผลผลิตแล้ว มีความหมายเหนือกว่าการแข่งขันมาก เพราะการเพิ่มผลผลิตเป็นปรัชญาที่เชื่อมั่นในคุณค่าของคน และมุ่งเน้นที่การมีส่วนร่วมของคน และคุณภาพชีวิตการทำงาน ดังนั้น การเพิ่มผลผลิตจะคิดแต่เพื่อการแข่งขันอย่างเดียวไม่คำนึงถึงเรื่องคนนั้นไม่ได้ เพราะคนมีส่วนสำคัญในการสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน ไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุงคุณภาพ การลดต้นทุน หรือการลดความสูญเสียเพื่อให้ได้เปรียบในเรื่องราคา และคุณภาพ
ผู้บริหารในองค์การหรือบริษัทต่าง ๆ จะต้องทำความเข้าใจในแนวคิดเรื่องของการเพิ่มผลผลิตให้ถูกต้อง รวมทั้งใช้ความพยายามในการวางกลยุทธ์ แนวทาง และการบริหารกิจกรรมการเพิ่มผลผลิตในองค์การให้สอดคล้องกับเป้าหมายในองค์การ ซึ่งจะแตกต่างกันตามระดับของความเป็น อุตสาหกรรม วัฒนธรรม ค่านิยม ตลอดจนบทเรียนที่ผ่านมาในอดีต และที่สำคัญยิ่งก็คือ ความจำเป็นในปัจจุบันและอนาคตขององค์การ
ดังนั้น กลยุทธ์หรือวิธีการที่ประสบผลสำเร็จในองค์การหนึ่ง ก็ไม่อาจลอกเลียน หรือถ่ายทอดไปให้กับอีกองค์การหนึ่งแล้วประสบความสำเร็จเช่นเดียวกันได้
ยิ่งไปกว่านั้น การปรับปรุงการเพิ่มผลผลิตเป็นกระบวนการของการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ดังนั้น ปัจจัยที่เกี่ยวกับตัวบุคคล สังคม วัฒนธรรม และค่านิยม จึงสำคัญมากต่อความสำเร็จของการบริหารการเพิ่มผลผลิต และเป็นที่มาของความหมายการเพิ่มผลผลิตที่ว่า “Social Productivity”เพราะการเพิ่มผลผลิตมีเป้าหมายเพื่อคุณภาพชีวิตของคนและสังคม
การบริหาร
คำว่า “Management” ที่เราพูดถึงกันอยู่ทุกวันนี้ คือ กุญแจแห่งความสำเร็จของญี่ปุ่น ซึ่งเปลี่ยนความหมายไปจากของเดิม ก็เพราะยุคของการค้าซึ่งมีแต่การเพิ่มผลผลิต เพิ่มการแข่งขัน และในปัจจุบันสิ่งที่ทุกคนนึกถึงก็คือ เรื่องของการเปลี่ยนแปลงซึ่งมีหลายคำที่ถูกนำมาใช้ในการกำหนดนโยบายของบริษัทในยุคนี้ เช่น การเปลี่ยนแปลง (Change) การปฏิรูป (Reform) การปรับปรุงใหม่ (Renovation) เป็นต้น ข้อคิดในเรื่องเหล่านี้ก็คือ
1.คนส่วนใหญ่จะสนใจแต่คำศัพท์ (Terminology) เช่น การปฏิรูป (Reform) ก็ถูกนำมาใช้เพื่อปกปิดการปฏิรูปที่แท้จริง หรือแทนการปฏิวัติเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งใหม่ ๆ เรียกว่า ปฏิรูป ซึ่งฟังแล้วดูดี แต่ก็ไม่มีการปฏิบัติอะไรที่ต่างไปจากเดิม
2. ผู้บริหารอาจจะพูดถึงความจำเป็นที่จะต้องปฏิรูป หรือปรับปรุงการบริหารภายในองค์การกัน แต่ส่วนมากไม่ได้ให้ความสนใจกับกฎเกณฑ์พื้นฐานว่าจะทำอะไร อย่างไร ไม่สนใจในปัญหาเล็ก ๆน้อย ๆ ซึ่งการปรับปรุงการบริหารนั้นควรเริ่มต้นตั้งแต่ในสายการผลิตเลยทีเดียว
3.คนส่วนมากมักจะเห่อ หรือนิยมศัพท์ใหม่ ๆ ที่มีผู้คิดขึ้น อย่างเช่น Reengineering ของ Michael Hamer ในญี่ปุ่นก็เช่นเดียวกัน หลังจากเรื่องของ Hamer ออกมาไม่นาน ก็มีหนังสือที่เขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้เกินกว่า 10 เล่ม คนก็หลงและเห่อเหมือนกันว่า เป็นเทพธิดาการบริหารองค์ใหม่ เพราะนักบริหารของญี่ปุ่นเป็นนักอ่าน และหนังสือก็ขายดีมาก ๆ แต่ไม่ได้มีการนำความคิดอะไรไปใช้ จะเห็นได้ว่าคนเรามีแนวโน้มที่จะยอมรับแต่ศัพท์ใหม่ ๆ และเพิกเฉยต่อตัวเทคโนโลยีที่แท้จริง
แนวคิดพื้นฐานของการบริหาร
การบริหารนั้น ไม่เพียงแต่เป็นผลรวมของทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้ทำขึ้น เพื่อให้องค์การหรือบริษัทมีมูลค่าสูงขึ้น แต่ผู้บริหารจะต้องสร้างความพึงพอใจให้เกิดขึ้น ทั้งต่อตนเองและในงาน รวมทั้งในหมู่พนักงานด้วย และต้องขยายขอบเขตออกไปถึงการสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าทั้งหลาย ซึ่งเลือกซื้อหรือใช้บริการของเรา หรือทำธุรกิจกับเรา อีกทั้งเป็นที่พึงพอใจของสังคมด้วย
แนวทางในการปฏิบัติสำหรับผู้บริหาร
สำหรับผู้บริหารองค์การทั้งหลาย ก็จำเป็นต้องยกระดับความคิดของตนเองใหม่ ให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของโลก โดย
1. คุณต้องเป็นผู้นำกระบวนการปรับปรุงคุณภาพของบริษัท
2.คุณต้องมีเรื่องของคุณภาพอยู่ในสายเลือด
3.คุณต้องเข้าใจความต้องการและความคาดหวังของลูกค้า
4.คุณต้องให้โอกาสพนักงานทุกคนโดยการอบรม หาวิธีการจูงใจตลอดจนสร้างวัฒนธรรมในองค์การ ให้พนักงานรู้สึกว่าตนเป็นทรัพยากรที่มีค่าขององค์การ และเมื่อพนักงานเกิดความพึงพอใจ นั่นคือตัวบ่งชี้ว่าลูกค้าก็จะพึงพอใจต่อไป
5.คุณต้องบริหารงานบนพื้นฐานของความเป็นจริง (Managing by Fact)
6.คุณต้องส่งเสริมเรื่องของการปรับปรุงกระบวนการ
7.คุณต้องใช้กระบวนการวางแผนเชิงกลยุทธ์เพื่อทำในสิ่งที่องค์การมุ่งหวัง
8.คุณต้องพยายามกระตุ้นพนักงานให้ใช้ความรู้ พลัง ความกล้า และความมุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนแปลงปรับปรุงอย่างรวดเร็ว และต่อเนื่อง
9. คุณต้องมองการณ์ให้กว้างไกล และใส่ใจในรายละเอียดด้วย
10.คุณต้องรอบคอบ และกล้าตัดสินใจ
การยกระดับความคิด (Shift in Thinking) นั้นเป็นหัวใจของการบริหารการเพิ่มผลผลิต และแม้แต่เรื่องของการบริหารคุณภาพทั่วทั้งองค์การ TQM ที่กำลังเป็นแฟชั่นอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งถือเอาลูกค้าเป็นเป้าหมายนั้น การจะให้ได้มาซึ่ง Total Customer Focus จำเป็นต้องอาศัยการเปลี่ยนแปลง วัฒนธรรม ค่านิยม (Cultural Change) ซึ่งเป็นรากเหง้าที่ฝังลึกโดยต้องเปลี่ยนความคิด ดังนั้นหากไม่สามารถเปลี่ยนหรือยกระดับความคิดได้ก็หวังผลทุกอย่างได้ยาก
การบริหารการเพิ่มผลผลิตในองค์การนั้น จะประสบความสำเร็จได้จำเป็นต้องดำเนินการอย่างเป็นระบบมีระเบียบ และต่อเนื่อง
การบริหารการเพิ่มผลผลิตเป็นเรื่องของการมีส่วนร่วมของทุกคนในองค์การ ดังนั้น ทุกคนต้องมีเป้าหมายร่วมกัน มีแรงจูงใจมีการทำงานเป็นทีมในทุกระดับ มีวินัย และความมุ่งมั่นในทิศทางเดียวกัน
การบริหารการเพิ่มผลผลิตเป็นเรื่องของการบริหารข้อมูลข่าวสาร ทุกคนในองค์การควรพูดภาษาเดียวกันข่าวสารถูกต้องเป็นสิ่งที่จะส่งเสริมการมีส่วนร่วม ดังนั้น ข่าวสารต้องมีการสื่อให้รู้ทั่วกันอย่างถูกต้องถูกเวลา และสามารถนำมาเปรียบเทียบให้เห็นได้ถึงผลต่างระหว่างความจริงกับสิ่งที่คาดหวังหรือตั้งเป้าไว้
การบริหารการเพิ่มผลผลิตเป็น Concerted Action คือ ต้องมีการจัดโครงสร้างที่ดี มีการแบ่งความรับผิดชอบ ฝ่ายบริหารและพนักงานเข้าใจ และไว้วางใจซึ่งกันและกัน ทำงานเป็นเสมือนหุ้นส่วนกัน เคารพและยอมรับกันเปรียบเสมือนการบรรเลงดนตรีคลาสสิคของวงออเคสตราวงใหญ่ ซึ่งมีความพร้อมเพรียง และต่างคนต่างรู้หน้าที่ซึ่งกันและกัน ไม่ใช่ one man show
การบริหารการเพิ่มผลผลิต ไม่ใช่กิจกรรม แต่เป็นกระบวนการบริหารที่ต้องทำอย่างเป็นระบบ มีระเบียบ และต่อเนื่อง ดังกล่าวแล้ว จึงจำเป็นต้องมีผู้รับผิดชอบที่จะวางแผน ประสาน ตรวจสอบ ส่งเสริม ผลักดัน ให้เกิด Productivity Movement ของการพัฒนาการเพิ่มผลผลิตในองค์การ ผู้ที่จะทำหน้าที่บริการการเพิ่มผลผลิต จะต้องมีความรู้ความเชี่ยวชาญ ทัศนคติ และศรัทธาในปรัชญาของการเพิ่มผลผลิตซึ่งแสดงออกโดยการกระทำเป็นตัวอย่างที่ดีในเรื่องของการเพิ่มผลผลิต
ความก้าวหน้าในการพัฒนาอุตสาหกรรม เทคโนโลยีต่าง ๆ การเปลี่ยนแปลงของสภาวะแวดล้อมทั้งในประเทศ และต่างประเทศอาจทำให้เกิดปัจจัยใหม่ ๆ ที่เป็นอุปสรรคและปัญหาในการเพิ่มผลผลิตในองค์การ ดังนั้น ผู้บริหารจึงต้องติดตามและหาทางปรับปรุงและพัฒนากลยุทธ์ในการบริหารการเพิ่มผลผลิต เพื่อคงไว้ซึ่งความได้เปรียบในการแข่งขัน และระดับการเพิ่มผลผลิตที่สูงขึ้นตลอดจนความเจริญก้าวหน้าทางเศรษฐกิจสังคม อันจะนำไปสู่คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของทุกคนในสังคม ดังนั้น ความพยายามในการเพิ่มผลผลิตจึงไม่มีที่สิ้นสุด
แนวคิดเรื่องการเพิ่มผลผลิต
แนวคิดและความหมายของการเพิ่มผลผลิตนั้น จะเปลี่ยนไปตามความต้องการของกิจกรรมทางอุตสาหกรรมจากอดีตที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน คำว่า “การเพิ่มผลผลิต” (Productivity) เริ่มต้นตั้งแต่ความหมายอย่างแคบ คือ ประสิทธิภาพ (Efficiency) มาถึงการแข่งขัน (Competitiveness)และปัจจุบันนั้น การเพิ่มผลผลิตเป็นเรื่องของการพัฒนา และยกระดับสังคม (Social Productivity)
ในสหรัฐอเมริกา ยุคของประธานาธิบดี บิล คลินตัน นี้ คำว่า “Productivity” กับคำว่า “Competitiveness” แทบจะกลายมาเป็นคำ ๆ เดียวกัน หรือใช้แทนกัน เพราะการเพิ่มผลผลิตนั้นเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในการแข่งขัน ซึ่งเริ่มตั้งแต่สมัยประธานาธิบดี ยอร์ช บุช ที่สหรัฐอเมริกาสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน เพราะการเพิ่มผลผลิตตกต่ำ (Productivity Stagnation) ทั้งนี้ปัญหาใหญ่ก็คือ เรื่องของคุณภาพ จึงมีการรณรงค์เรื่องคุณภาพกันอย่างหนัก และก็เริ่มมี Malcom Baldrige Award หรือรางวัลคุณภาพแห่งชาติขึ้น ซึ่งเป็นกลยุทธ์หนึ่งที่จะให้ได้มาซึ่งระดับการเพิ่มผลผลิตที่สูงขึ้น อันจะเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทั้งตลาดในประเทศและตลาดต่างประเทศ
ถึงแม้จะใช้คำว่า การแข่งขันเป็นคำแปลของคำว่า “การเพิ่มผลผลิต” แต่คำทั้ง 2 นั้นแตกต่างกัน เพราะการแข่งขันนั้น เรามุ่งสร้างความได้เปรียบที่ราคาและคุณภาพ นั่นหมายถึงว่า ถ้าจะให้แข่งขันได้โดยต้องลดค่าแรง หรือให้คนงานออกบริษัทก็จะต้องทำ แต่สำหรับการเพิ่มผลผลิตแล้ว มีความหมายเหนือกว่าการแข่งขันมาก เพราะการเพิ่มผลผลิตเป็นปรัชญาที่เชื่อมั่นในคุณค่าของคน และมุ่งเน้นที่การมีส่วนร่วมของคน และคุณภาพชีวิตการทำงาน ดังนั้น การเพิ่มผลผลิตจะคิดแต่เพื่อการแข่งขันอย่างเดียวไม่คำนึงถึงเรื่องคนนั้นไม่ได้ เพราะคนมีส่วนสำคัญในการสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน ไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุงคุณภาพ การลดต้นทุน หรือการลดความสูญเสียเพื่อให้ได้เปรียบในเรื่องราคา และคุณภาพ
ผู้บริหารในองค์การหรือบริษัทต่าง ๆ จะต้องทำความเข้าใจในแนวคิดเรื่องของการเพิ่มผลผลิตให้ถูกต้อง รวมทั้งใช้ความพยายามในการวางกลยุทธ์ แนวทาง และการบริหารกิจกรรมการเพิ่มผลผลิตในองค์การให้สอดคล้องกับเป้าหมายในองค์การ ซึ่งจะแตกต่างกันตามระดับของความเป็น อุตสาหกรรม วัฒนธรรม ค่านิยม ตลอดจนบทเรียนที่ผ่านมาในอดีต และที่สำคัญยิ่งก็คือ ความจำเป็นในปัจจุบันและอนาคตขององค์การ
ดังนั้น กลยุทธ์หรือวิธีการที่ประสบผลสำเร็จในองค์การหนึ่ง ก็ไม่อาจลอกเลียน หรือถ่ายทอดไปให้กับอีกองค์การหนึ่งแล้วประสบความสำเร็จเช่นเดียวกันได้
ยิ่งไปกว่านั้น การปรับปรุงการเพิ่มผลผลิตเป็นกระบวนการของการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ดังนั้น ปัจจัยที่เกี่ยวกับตัวบุคคล สังคม วัฒนธรรม และค่านิยม จึงสำคัญมากต่อความสำเร็จของการบริหารการเพิ่มผลผลิต และเป็นที่มาของความหมายการเพิ่มผลผลิตที่ว่า “Social Productivity”เพราะการเพิ่มผลผลิตมีเป้าหมายเพื่อคุณภาพชีวิตของคนและสังคม
การบริหาร
คำว่า “Management” ที่เราพูดถึงกันอยู่ทุกวันนี้ คือ กุญแจแห่งความสำเร็จของญี่ปุ่น ซึ่งเปลี่ยนความหมายไปจากของเดิม ก็เพราะยุคของการค้าซึ่งมีแต่การเพิ่มผลผลิต เพิ่มการแข่งขัน และในปัจจุบันสิ่งที่ทุกคนนึกถึงก็คือ เรื่องของการเปลี่ยนแปลงซึ่งมีหลายคำที่ถูกนำมาใช้ในการกำหนดนโยบายของบริษัทในยุคนี้ เช่น การเปลี่ยนแปลง (Change) การปฏิรูป (Reform) การปรับปรุงใหม่ (Renovation) เป็นต้น ข้อคิดในเรื่องเหล่านี้ก็คือ
1.คนส่วนใหญ่จะสนใจแต่คำศัพท์ (Terminology) เช่น การปฏิรูป (Reform) ก็ถูกนำมาใช้เพื่อปกปิดการปฏิรูปที่แท้จริง หรือแทนการปฏิวัติเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งใหม่ ๆ เรียกว่า ปฏิรูป ซึ่งฟังแล้วดูดี แต่ก็ไม่มีการปฏิบัติอะไรที่ต่างไปจากเดิม
2. ผู้บริหารอาจจะพูดถึงความจำเป็นที่จะต้องปฏิรูป หรือปรับปรุงการบริหารภายในองค์การกัน แต่ส่วนมากไม่ได้ให้ความสนใจกับกฎเกณฑ์พื้นฐานว่าจะทำอะไร อย่างไร ไม่สนใจในปัญหาเล็ก ๆน้อย ๆ ซึ่งการปรับปรุงการบริหารนั้นควรเริ่มต้นตั้งแต่ในสายการผลิตเลยทีเดียว
3.คนส่วนมากมักจะเห่อ หรือนิยมศัพท์ใหม่ ๆ ที่มีผู้คิดขึ้น อย่างเช่น Reengineering ของ Michael Hamer ในญี่ปุ่นก็เช่นเดียวกัน หลังจากเรื่องของ Hamer ออกมาไม่นาน ก็มีหนังสือที่เขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้เกินกว่า 10 เล่ม คนก็หลงและเห่อเหมือนกันว่า เป็นเทพธิดาการบริหารองค์ใหม่ เพราะนักบริหารของญี่ปุ่นเป็นนักอ่าน และหนังสือก็ขายดีมาก ๆ แต่ไม่ได้มีการนำความคิดอะไรไปใช้ จะเห็นได้ว่าคนเรามีแนวโน้มที่จะยอมรับแต่ศัพท์ใหม่ ๆ และเพิกเฉยต่อตัวเทคโนโลยีที่แท้จริง
แนวคิดพื้นฐานของการบริหาร
การบริหารนั้น ไม่เพียงแต่เป็นผลรวมของทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้ทำขึ้น เพื่อให้องค์การหรือบริษัทมีมูลค่าสูงขึ้น แต่ผู้บริหารจะต้องสร้างความพึงพอใจให้เกิดขึ้น ทั้งต่อตนเองและในงาน รวมทั้งในหมู่พนักงานด้วย และต้องขยายขอบเขตออกไปถึงการสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าทั้งหลาย ซึ่งเลือกซื้อหรือใช้บริการของเรา หรือทำธุรกิจกับเรา อีกทั้งเป็นที่พึงพอใจของสังคมด้วย
แนวทางในการปฏิบัติสำหรับผู้บริหาร
สำหรับผู้บริหารองค์การทั้งหลาย ก็จำเป็นต้องยกระดับความคิดของตนเองใหม่ ให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของโลก โดย
1. คุณต้องเป็นผู้นำกระบวนการปรับปรุงคุณภาพของบริษัท
2.คุณต้องมีเรื่องของคุณภาพอยู่ในสายเลือด
3.คุณต้องเข้าใจความต้องการและความคาดหวังของลูกค้า
4.คุณต้องให้โอกาสพนักงานทุกคนโดยการอบรม หาวิธีการจูงใจตลอดจนสร้างวัฒนธรรมในองค์การ ให้พนักงานรู้สึกว่าตนเป็นทรัพยากรที่มีค่าขององค์การ และเมื่อพนักงานเกิดความพึงพอใจ นั่นคือตัวบ่งชี้ว่าลูกค้าก็จะพึงพอใจต่อไป
5.คุณต้องบริหารงานบนพื้นฐานของความเป็นจริง (Managing by Fact)
6.คุณต้องส่งเสริมเรื่องของการปรับปรุงกระบวนการ
7.คุณต้องใช้กระบวนการวางแผนเชิงกลยุทธ์เพื่อทำในสิ่งที่องค์การมุ่งหวัง
8.คุณต้องพยายามกระตุ้นพนักงานให้ใช้ความรู้ พลัง ความกล้า และความมุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนแปลงปรับปรุงอย่างรวดเร็ว และต่อเนื่อง
9. คุณต้องมองการณ์ให้กว้างไกล และใส่ใจในรายละเอียดด้วย
10.คุณต้องรอบคอบ และกล้าตัดสินใจ
การยกระดับความคิด (Shift in Thinking) นั้นเป็นหัวใจของการบริหารการเพิ่มผลผลิต และแม้แต่เรื่องของการบริหารคุณภาพทั่วทั้งองค์การ TQM ที่กำลังเป็นแฟชั่นอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งถือเอาลูกค้าเป็นเป้าหมายนั้น การจะให้ได้มาซึ่ง Total Customer Focus จำเป็นต้องอาศัยการเปลี่ยนแปลง วัฒนธรรม ค่านิยม (Cultural Change) ซึ่งเป็นรากเหง้าที่ฝังลึกโดยต้องเปลี่ยนความคิด ดังนั้นหากไม่สามารถเปลี่ยนหรือยกระดับความคิดได้ก็หวังผลทุกอย่างได้ยาก
การบริหารการเพิ่มผลผลิตในองค์การนั้น จะประสบความสำเร็จได้จำเป็นต้องดำเนินการอย่างเป็นระบบมีระเบียบ และต่อเนื่อง
การบริหารการเพิ่มผลผลิตเป็นเรื่องของการมีส่วนร่วมของทุกคนในองค์การ ดังนั้น ทุกคนต้องมีเป้าหมายร่วมกัน มีแรงจูงใจมีการทำงานเป็นทีมในทุกระดับ มีวินัย และความมุ่งมั่นในทิศทางเดียวกัน
การบริหารการเพิ่มผลผลิตเป็นเรื่องของการบริหารข้อมูลข่าวสาร ทุกคนในองค์การควรพูดภาษาเดียวกันข่าวสารถูกต้องเป็นสิ่งที่จะส่งเสริมการมีส่วนร่วม ดังนั้น ข่าวสารต้องมีการสื่อให้รู้ทั่วกันอย่างถูกต้องถูกเวลา และสามารถนำมาเปรียบเทียบให้เห็นได้ถึงผลต่างระหว่างความจริงกับสิ่งที่คาดหวังหรือตั้งเป้าไว้
การบริหารการเพิ่มผลผลิตเป็น Concerted Action คือ ต้องมีการจัดโครงสร้างที่ดี มีการแบ่งความรับผิดชอบ ฝ่ายบริหารและพนักงานเข้าใจ และไว้วางใจซึ่งกันและกัน ทำงานเป็นเสมือนหุ้นส่วนกัน เคารพและยอมรับกันเปรียบเสมือนการบรรเลงดนตรีคลาสสิคของวงออเคสตราวงใหญ่ ซึ่งมีความพร้อมเพรียง และต่างคนต่างรู้หน้าที่ซึ่งกันและกัน ไม่ใช่ one man show
การบริหารการเพิ่มผลผลิต ไม่ใช่กิจกรรม แต่เป็นกระบวนการบริหารที่ต้องทำอย่างเป็นระบบ มีระเบียบ และต่อเนื่อง ดังกล่าวแล้ว จึงจำเป็นต้องมีผู้รับผิดชอบที่จะวางแผน ประสาน ตรวจสอบ ส่งเสริม ผลักดัน ให้เกิด Productivity Movement ของการพัฒนาการเพิ่มผลผลิตในองค์การ ผู้ที่จะทำหน้าที่บริการการเพิ่มผลผลิต จะต้องมีความรู้ความเชี่ยวชาญ ทัศนคติ และศรัทธาในปรัชญาของการเพิ่มผลผลิตซึ่งแสดงออกโดยการกระทำเป็นตัวอย่างที่ดีในเรื่องของการเพิ่มผลผลิต
ความก้าวหน้าในการพัฒนาอุตสาหกรรม เทคโนโลยีต่าง ๆ การเปลี่ยนแปลงของสภาวะแวดล้อมทั้งในประเทศ และต่างประเทศอาจทำให้เกิดปัจจัยใหม่ ๆ ที่เป็นอุปสรรคและปัญหาในการเพิ่มผลผลิตในองค์การ ดังนั้น ผู้บริหารจึงต้องติดตามและหาทางปรับปรุงและพัฒนากลยุทธ์ในการบริหารการเพิ่มผลผลิต เพื่อคงไว้ซึ่งความได้เปรียบในการแข่งขัน และระดับการเพิ่มผลผลิตที่สูงขึ้นตลอดจนความเจริญก้าวหน้าทางเศรษฐกิจสังคม อันจะนำไปสู่คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของทุกคนในสังคม ดังนั้น ความพยายามในการเพิ่มผลผลิตจึงไม่มีที่สิ้นสุด